เทศน์เช้า

ศาสนาที่ประเสริฐ

๒๖ เม.ย. ๒๕๔๓

 

ศาสนาที่ประเสริฐ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทำไมต้องเป็นศาสนาที่ประเสริฐล่ะ? ศาสนาที่ประเสริฐกับศาสนาธรรมดาทั่วไป ศาสนาที่ประเสริฐ มีที่ประเสริฐเพราะว่าก่อนจะมีพระพุทธศาสนา ศาสนามีอยู่แล้ว ถ้าศาสนามันประเสริฐหมดนะ พระพุทธศาสนาเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไปศึกษาเล่าเรียนกับลัทธิต่างๆ มันก็ยังทำไม่ได้

ฉะนั้นศาสนาที่ประเสริฐ เห็นไหม ศาสนาทั่วๆ ไปเป็นศีลธรรมจริยธรรม ศีลธรรมจริยธรรมมันมีอยู่โดยปกติอยู่แล้ว คนเราถ้าดีดีโดยพื้นฐาน คนมีศีลธรรม คนมีศาสนาในหัวใจ แต่ศาสนาในหัวใจ ศาสนาเพื่อทำความดีไปเฉยๆ ทำความดีทำความชั่วมันเป็นสัจจะภายในหัวใจ ทำดีต้องได้ดี จะประพฤติปฏิบัติธรรมหรือไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม ทำดีต้องได้ดีอยู่แล้ว ทำชั่วต้องได้ผลของกรรมตอบสนองไป

แต่มันไม่มีทางพ้นทุกข์ออกไปได้ไง ศาสนาที่ประเสริฐนะ พุทธศาสนานี่มีมัคคอริยสัจจัง มรรคองค์ ๘ ทำให้พ้นออกจากกิเลสไปได้ ออกจากเครื่องร้อยรัดไปได้ ถึงว่าศาสนาที่ประเสริฐ มันประเสริฐตรงนี้ ศาสนาอื่นๆ มันไม่ประเสริฐ ไม่ประเสริฐเพราะว่ามันเป็นการที่ว่าทำดีได้ดี มันเป็นว่าดีหรือชั่วมันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน ของมีมืดมีสว่างโดยธรรมชาติ มีร้อนมีเย็นโดยธรรมชาติของมัน

คนเราใฝ่ดีนะ ใฝ่ดี แต่ถ้าใฝ่ดี มันถึงว่าต้องมีศาสดาไง ศาสดาสอนถึงการว่าเราเข้าไปถึงใฝ่ดี เราว่าความดี ความดีมันมีอยู่ ๒ ประเภท ความดีจริงกับความดีด้วยความคาดหมาย ความดีมันแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก ดีๆๆ จนถึงที่สุด แต่ความดีของเราคือความดีคาดหมาย เราเข้าใจว่าดีแล้วเราว่าดี เราว่าดีเห็นไหม เราว่าไปเรื่อย

แต่คำว่า “ดีของเรา” อันนี้มันมีกิเลสคุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง กิเลสคือว่าความเห็นของเราคุมอยู่ เห็นไหม ความเห็นมันอยู่ใต้ของความดี ถึงบอกว่าเวลาศึกษาเล่าเรียนมา มีปัญญามา มีความคิดมา ทุกอย่างอยู่ใต้อำนาจของกิเลส กิเลสพาใช้

ศาสนาที่ประเสริฐชี้ให้เห็นตรงนี้ไง เห็นที่ว่าเราว่าเราฉลาด เราเอาตัวรอดได้ เราฉลาดไปนะ คนว่าฉลาดเท่าไหร่ คนนั้นมีแต่ทางที่จะลงๆ เพราะความว่าตัวเองฉลาดมันต้องทำตามใจตัวเอง แล้วกิเลสมันอยู่ในใจของตัวเอง มันต้องพยายามบังคับให้ตัวเองทำไป แต่ถ้าเราเริ่มเชื่อธรรม อย่างศีล ๕ นี่ ศีล ๕ ไม่ให้เราปฏิบัติตามใจตัวเราเอง ต้องมีขอบเขตของศีลบังคับไว้ นี่ศีล ๕ ศีลนี้แค่เป็นขอบเขตเอง แล้ววิปัสสนาเข้าไปข้างในยังจะเห็นลึกเข้าไปๆ ความลึกเข้าไปของวิปัสสนามันถึงเข้าไปชำระตรงที่ว่าไม่ให้เชื่อตัวเองไง ความดีของเราเอง เราเชื่อตัวของเราเอง เราว่าเป็นความดี ความดีของเราเอง เห็นไหม

ถึงบอกว่าความดี ความมืดกับสว่างมีของคู่กันมา ความดีเป็นศีลธรรมจริยธรรมมีอยู่แล้ว ทำดีต้องได้ดี ต้องตายไปแล้วถึงวนเวียนไง วนเวียนในวัฏจักร ตายไปแล้วมันต้องพาเกิดพาตายในสามโลกธาตุ การพาเกิดพาตายในสามโลกธาตุมันพาเกิดพาตายไป ความดีพาให้เกิดสูง ความไม่ดีพาให้เกิดต่ำ

นี่มันถึงว่าหมุนไป ศาสนานี่สอนกันไปอย่างนั้น ก่อนที่มีศาสนาพุทธ มันสอนกันมาอย่างนั้นตลอดเวลา สอนกันมาตลอดเวลา ในศาสนาอย่างนั้นสอนกันมา ก็เลยเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนั้น

แต่พระพุทธศาสนาสอนให้ออกถึงที่ไง ศาสนาที่ประเสริฐประเสริฐตรงนี้ ถ้าศาสนาอื่นประเสริฐอยู่ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องมาตรัสรู้ มันต้องมีศาสนาอยู่แล้ว แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ออกมาตรงนี้ สยมภูรู้ด้วยตนเอง เห็นไหม แทงออกไปเป็นไก่ตัวแรกไง ไก่ตัวแรกเจาะเปลือกไข่ออกมา ถึงว่าสัตว์ที่ว่าไม่มีใครเลย

ตอนที่พราหมณ์เขาไปถามว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคารพพราหมณ์ผู้เฒ่า ไม่กราบพราหมณ์ผู้เฒ่า”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่มีเลยว่าที่เจาะเปลือกไข่ออกมาเป็นตัวแรก คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมาก่อน เป็นองค์แรกออกมา”

ถึงบอกเจาะเปลือกไข่ออกมาว่าเป็นพี่ใหญ่ไง ไม่มีใครตรัสรู้ก่อน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ได้ เป็นไปไม่ได้ พราหมณ์ผู้เฒ่านั้นมีอายุขัย อายุขัยเฉยๆ แต่ไม่รู้จริงตามหลักความเป็นจริง อายุขัยมากขึ้นมาแล้วก็จดจำมา ลัทธิศาสนาต่างๆ คือว่าจำระเบียบจำวิธีการมา จำประเพณีวัฒนธรรมมา จำมาเฉยๆ จำเข้ามาเท่าไหร่ กิเลสในหัวใจ ความเห็นของตัว ตัวเองจำได้รู้มาก เห็นไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคารพผู้เฒ่าผู้แก่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่มี! ในสามโลกธาตุนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เห็นเลยว่าใครจะประเสริฐกว่า ใครจะสมควรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบ ไม่มีหรอก” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ว่าเป็นอาวุโสสูงสุด เป็นผู้รู้ก่อน เป็นผู้รู้องค์แรกที่ออกมาจากอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา

นี่ถึงว่าเป็นศาสนาที่ประเสริฐไง พออันนี้มาถึงมาสอนพวกที่ว่าพราหมณ์ผู้เฒ่านะ พราหมณ์ผู้เฒ่าพอละทิฏฐิของตัวเองก็ต้องกลับมายอมตน พอคุยกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนใหญ่แล้วจะยอมนับถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง จากทั้งๆ ที่ทีแรกว่าตัวเองมีความรู้มากกว่า อาวุโสกว่า ความจำได้มากกว่า ความรู้ได้รู้ระเบียบวิธีการที่ทำกันตามระเบียบวิธีการ คือว่าประเพณีวัฒนธรรมที่ทำมา เห็นไหม ว่าทำได้ดี ทำได้ประณีตกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ต้องทำขนาดนั้นไง ทำขนาดนั้นเป็นการยึดมั่นถือมั่น เกาะยึดตาย เห็นไหม ประเพณี ถ้าเกาะประเพณีแล้ว ถ้าไม่ทำตามนั้นก็ว่าตัวเองทำผิดประเพณี พอทำผิดก็ทำผิดศาสนา

แต่นี่มันไม่ใช่อย่างนั้น ประเพณีนี้เป็นที่ว่าเครื่องอยู่อาศัย เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทา ความเป็นกลาง ความละเอียดอ่อนของใจที่มันปล่อยวางต่างหาก อันนี้เป็นประเพณีประพฤติปฏิบัติ ใจละเอียดอ่อน ปล่อยเข้ามาๆ ความที่ใจจะปล่อยเข้ามาได้ ใจจะปล่อยเข้ามาได้ต้องมีวิธีการปล่อยเข้ามา เพราะมันยึด ยึดประเพณีหนึ่งนะ ยึดตัวเองอีกหนึ่ง

ความยึดว่าตัวเองรู้นะ ถ้าตัวเองไม่ทำตามที่ตัวเองรู้ ตัวเองว่าผิด กระวนกระวายเกิดขึ้นในหัวใจ มันจะเป็นสมาธิขึ้นมาได้อย่างไร มันไม่เป็นสมาธิขึ้นมาเพราะตัวเองว่าทำอย่างนี้มันเป็นผิดพลาดในการกระทำอันนั้น เพราะว่าศีล สมาธิ ปัญญา แค่ทำให้ใจนี้สงบเข้ามาเฉยๆ ศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม

ศีล สมาธิ เพราะปัญญาอย่างเริ่มต้น ปัญญาต่อสู้กับปัญญาภายนอก ปัญญาต่อสู้กับความที่ไปยึดมั่นถือมั่นกับระเบียบวิธีการอันนี้ ระเบียบวิธีการที่ว่าปัญญาเลาะออกมา จะมีสมาธิได้มันต้องมีปัญญา มีศีลต้องใช้ปัญญา ถึงว่าการถือศีลนั้นถึงจะปกติ ถ้าไม่มีปัญญาเข้าไป ศีลมันก็ถือด้วย ลัทธิศาสนาต่างๆ ศีลของเขาไม่เหมือนกัน ศีลในการทำลายคนอื่น การทำลายล้าง เห็นไหม เพื่อให้เขามาเชื่อในศาสนาของเรา

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อย่าเชื่อนะ! อย่าเชื่อแม้แต่องค์ศาสดาบอก ให้เอาไปคิดใคร่ครวญดูก่อน” แต่ในลัทธิศาสนาต่างๆ ว่าถ้าคนอื่นถือความเห็นผิด ถ้าได้ทำลายเขาเพื่อให้เขาดับไปแล้วมาเกิดใหม่ในศาสนายังดีกว่า

นี่ปัญญาเข้าไปดูในศีลที่ว่าบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ ศีลที่ว่าความเมตตากรุณาปล่อยเขาไป ถ้าเขายังมีความหนาด้วยความมืดอยู่ ปล่อยเขาไป แต่ก็บอกว่า “ให้มีสิ่งที่เปรียบเทียบเข้าไป” ให้เขาไปเปรียบเทียบของเขาเองไง ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่า ยัญที่ประเสริฐที่สุดไม่ใช่การบูชายัญ การฆ่ากัน ยัญในการประเสริฐที่สุดคือยัญการทำลายฆ่าความทิฏฐิ ความเห็นของตัวที่เห็นผิด

นี่ยัญที่พระพุทธเจ้าว่าประเสริฐที่สุด คือทำใจเข้ามาให้สงบเข้ามาๆ แต่ยัญของเขาคือยัญการฆ่าสัตว์ การบูชายัญ เห็นไหม บูชายัญเพื่อจะได้คุณงามความดี แต่บูชายัญของเรา บูชายัญคือว่ายัญทำลายกิเลสไง ยัญบูชายัญ บูชาความเห็นผิดของเรา ทำลายมันได้ไหม? กดมันไว้ก่อนถ้ามันทำลายไม่ได้

มันจะทำลายไปไม่ได้เลยเพราะว่ามันมีลูกมีหลานมีเหลนไง สิ่งที่แสดงออกมาเป็นปฏิกิริยาที่ใจมันแสดงออกมาแล้ว มันเป็นเงาที่ว่าออกมาจากความคิดเริ่มต้น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อยู่ข้างใน ก่อนที่จะทำลายเข้าไปถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันต้องสยบแต่ข้างนอกเข้ามา คือทำความสงบเข้ามาก่อน พอทำความสงบเข้ามา มันมีโอกาสขึ้นมาแก้ไข ถ้าไม่มีความสงบเข้ามา ไม่ทำความสงบเข้ามาก่อน ความคิดขนาดไหนมันก็คิดแบบบูชายัญ

เขาฆ่าสัตว์บูชายัญ นี่เราฆ่าทำลายคุณงามความดีของเราไง เราจะทำใจให้สงบ เห็นไหม ทำใจให้สงบขึ้นมาเพื่อจะบูชาให้เข้าไปทำลายกิเลส มันทำลายไม่ได้ มันเลยทำลายโอกาสของตัว บูชายัญคือทำลายตัวเองทั้งหมด บูชายัญไง

นี่มันถึงว่ามันต้องใช้ปัญญาการใคร่ครวญ ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาในพิจารณากายนอก ปัญญาพิจารณาบ่วงของมารไง บ่วงของการยึดมั่นถือมั่นของใจที่ออกไป นี่ปัญญาภายนอก ศีล สมาธิ ปัญญา มันยังมีศีล สมาธิ ปัญญาของโลกเขา ศีล สมาธิ ปัญญาของโลกุตตรธรรม ศีล สมาธิ ปัญญาในมรรค ๔ ผล ๔ เห็นไหม ปัญญาเป็นขั้นๆๆ เป็นขั้นเป็นตอนเข้ามา ปัญญาเป็นขั้นเป็นตอนเข้ามามันก็ทำให้เราประเสริฐขึ้นไปๆ

“ความประเสริฐของใจ” ความประเสริฐของใจจากกัลยาณชน เห็นไหม เป็นกัลยาณปุถุชนที่ว่า กัลยณปุถุชนคือแบ่งแยกถูกผิดเป็นแล้ว ถ้ากัลยาณชนคือว่าเราถูกหมดไง สรรพสิ่งคือเราถูกหมด ศาสนาต่างๆ ทุกศาสนาว่าเราถูกหมด

ถึงว่าต้องศาสนาที่ประเสริฐ ศาสนาที่ประเสริฐเพราะว่ามีกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ไม่ให้เชื่อเพราะว่าเป็นตำราสอนกันมา ไม่ให้เชื่อเพราะว่าเป็นพราหมณ์ที่จำกันมาด้นๆ เป็นจำกันมาตกทอดมาเป็นชั่วอายุคนๆ ไม่ให้เชื่อๆ ศาสนาที่ประเสริฐคือไม่ให้เชื่อด้วยการบอกเล่ามา แต่ศาสนาที่ประเสริฐให้รู้ประจักษ์ขึ้นมาในหัวใจของตัวเอง รู้ประจักษ์ด้วยวิธีการนะ ไม่ใช่รู้ประจักษ์ด้วยที่ว่าการด้นการเดา เห็นไหม การด้นการเดามันก็ยังเป็นว่าในศาสนาต่างๆ

แต่ในศาสนาที่ประเสริฐนั้นมันจะเป็นปัจจัตตัง โอปนยิโก ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ร้องเรียกหัวใจของเราให้เข้าไปอยู่จุดศูนย์กลางความเห็นจริงอันนั้น ถึงเข้าไปทำลายชำระไอ้กิเลสที่อยู่กลางหัวใจอันนั้น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ปักอยู่กลางหัวใจตัวนั้น เห็นไหม จากหยาบร่นเข้ามาๆ ศาสนาที่ประเสริฐประเสริฐตั้งแต่เริ่มต้น ศาสนาที่ประเสริฐคือว่าให้โอกาสทุกๆ ดวงใจ ให้โอกาสในความมืดความสว่างนั้น

ถ้ามันยังมืดปกคลุมอยู่ก็ให้ความมืดนั้นปกคลุมไปก่อน เห็นไหม แต่เสนอในทางออกเข้าไป คือเทศน์สอนออกไป เขาจะฟังหรือไม่ฟังเสนอแนวทางในทางออก แต่ไม่ใช่ทำลายกันไง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อก็ฆ่าก็ทำลายไป เพื่อให้เขาเกิดในศาสนาของเรา อันนี้เป็นบุญกุศลของเขา

ลัทธิศาสนาต่างๆ ถึงว่าไม่ใช่ประเสริฐทั้งหมด ลัทธิศาสนาที่ประเสริฐที่สุดคือพระพุทธศาสนาศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาแบบโลกๆ ภายนอก ปัญญาแบบให้โอกาสก่อน ปัญญาแบบเทียบเคียงให้เขาเห็นขึ้นมาก่อน แล้วพอเขาเข้ามาเขาจะซึ้งใจของเขาเอง เขาจะทิ้งของเขาเองไง

ถ้าเราเข้าไปศึกษาศาสนา เราเข้าใจหลักความจริงแล้ว ความหยาบๆ นั้นมันจะทิ้งเข้ามาเอง ความทิ้งเข้ามาทิ้งความหยาบ เหมือนกับเราแบกเหล็กมาก่อน เรามาเจอเงิน เราก็ทิ้งเหล็กเพื่อเอาเงิน ไปเจอทองคำก็ทิ้งเงินเพื่อเอาทองคำ

สิ่งที่ใจมันรู้ขึ้นมา มันรู้แจ้ง รู้คุณค่า รู้ความเห็นของเรา มันละได้ แต่! แต่ถ้าไปเปรียบเทียบกันว่าสิ่งนั้นผิด ของเราถูก ความยึดมั่นถือมั่นจะยึดไปจนตาย แล้วก็เทียบเคียงกันจนถึงทำลายล้างกัน ศาสนานั้นเขาต้องการให้รู้ซึ่งๆ หน้า

แต่ศาสนาของเราให้รู้จากภายในไง เพราะภายในมันรู้แล้วมันละเอง สิ่งที่ละเองๆ ละแล้วไม่ละเปล่านะ ในเวลาปัจจัตตังรู้จำเพาะตนขึ้นมาจะสลดสังเวชมาก สงสารตัวเองไง สงสารตัวเองว่าทำไมเราโง่หนอ เมื่อก่อนเราไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นได้อย่างไร

ถ้ารู้จริงมันจะซึ้งขนาดนั้นนะ ซึ้งขนาดที่ว่าสงสารตัวเราเองเลย ทำไมเมื่อก่อนเราไม่เห็นสิ่งนี้ ของนี่มันหญ้าปากคอก ทำไมเรามองไม่เห็น แล้วเราไปยึดสิ่งที่ผิดๆ พอรู้ว่าสิ่งนี้ถูกนะ

๑. สลดสังเวชสงสารตัวเอง

๒. ละสิ่งที่ว่าเคยผูกมัดขึ้นมา

นี่อำนาจของธรรมมันเหนือขนาดนั้น มันให้ตัวเองฉลาดขึ้นมาแล้วละสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายนอกออกไป นี่ศาสนาที่ประเสริฐ เห็นไหม ประเสริฐเพราะอะไร? ประเสริฐเพราะมันรู้จริง มันเป็นปัจจัตตัง รู้จริงเห็นจริงจำเพาะตน แล้วพอรู้จริงเห็นจริงมันก็ละสิ่งที่ว่าไม่จริงออกไปๆ นี่รู้ขึ้นมาจากภายใน

จากที่ว่าเราทำแบบโง่ๆ นี่แหละ เราทำแบบไม่รู้ขึ้นมา เรายังไม่รู้เรื่อง เรายังโง่อยู่ เราก็อาศัยแต่เชื่อครูบาอาจารย์ไป เชื่อไปก่อน ว่าไม่ให้เชื่อ แต่เชื่อเป็นแนวทางไง เชื่อนี้เป็นแนวทางใช่ไหม พอปฏิบัติไปแล้วแนวทางนี้ไม่ใช่แก้กิเลส แนวทางนี้เหมือนเข็มทิศแผนที่ดำเนิน ไอ้รู้จริงเห็นจริงนั้นเป็นของจริงขึ้นมา

ความเชื่อมันถึงว่าเป็นแค่เครื่องบอกเล่า เป็นของบอกเล่า ให้เชื่อเข้าไปก็เชื่อแผนที่เชื่อดำเนินเข้าไปก่อน คำว่า “ไม่เชื่อเลย” คือว่าไม่เชื่อผลไง เพราะผลนั้นเรายังไม่ได้ประสบขึ้นมา ประสบขึ้นมาก็อย่างที่ว่าเมื่อกี้ มันสลด มันสังเวช มันสงสารตัวเอง

แล้วมันยังย้อนกลับไปที่พระพุทธเจ้ากราบธรรม พระพุทธเจ้ากราบธรรมเพราะพระพุทธเจ้ารู้ธรรมขึ้นมา มันรู้แล้วมันซึ้งใจ กราบสัจจะความจริงอันนั้น กราบสิ่งที่ว่าเข้าไปถึงรู้ รู้เห็นอันนั้น ธรรมอันนั้นประเสริฐที่สุด

ศาสนาที่ประเสริฐคือศาสนาหลักสัจจะความจริง ศาสนาที่ชี้ความจริง ชำระสิ่งที่เป็นนามธรรมนะ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ความไม่รู้เห็นภายในนี้เป็นอวิชชา พอมันละได้มันละออกไป ความละได้มันต้องมีเครื่องมือละ สิ่งของสกปรกอยู่ ชำระล้างได้มันต้องมีน้ำมีความสะอาดเข้าไปชำระล้างใช่ไหม? ถ้าน้ำสกปรกยิ่งซักเข้าไป มันยิ่งทำความสกปรกเข้าไป มันยิ่งสกปรกเข้าไปใหญ่ ความสกปรกชำระสิ่งสกปรกไม่ได้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ในหัวใจมีอยู่แล้ว แล้วจะไปชำระความคิดที่ว่าสกปรกภายนอกได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจมันเป็นสิ่งที่สกปรกอยู่แล้ว ความคิดนี้เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่สกปรกนั้น แล้วเอาความคิดนั้นมาชำระล้างตรงนั้น มันจะชำระล้างได้อย่างไร

มันถึงต้องทำความสงบเข้ามา ถึงต้องมีศีล มีสมาธิ แล้วปัญญาอันประเสริฐ นี่ปัญญาญาณอันประเสริฐเกิดขึ้นจากภายใน ปัญญาญาณอันนี้ในลัทธิศาสนาอื่นๆ ไม่มี เพราะปัญญาเขาเป็นปัญญาภายนอกอันเมื่อกี้นี่ไง ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วถึงว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคไปอยู่ท้ายที่สุดเพราะอะไร? เพราะมันต้องมีความเคลื่อนออกมาชำระล้าง ภาวนามยปัญญาก็มีเฉพาะในศาสนาพุทธ เพราะภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากมรรค ๘ มัคคอริยสัจจังรวมตัวขึ้นมาเป็นมัคคสามัคคี เป็นภาวนามยปัญญา

ปัญญาอันนี้ถึงเป็นปัญญาชำระกิเลสไง ปัญญาในปัญญา ไม่ใช่ว่าเป็นปัญญาๆ ที่เราว่าเป็นปัญญากัน ปัญญาอันนั้นปัญญาชุ่มไปด้วยกิเลส ปัญญาชุ่มไปด้วยความเห็นของตัว พอปัญญาชุ่มไปด้วยความเห็นของตัวมันก็เลยชำระกิเลสไม่ได้ เพราะอวิชชามันบอกให้ไปเกิดอารมณ์ อวิชชานี่ความรู้... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)